ติวสถาปัตย์ มัณฑนศิลป์ วาดเส้น นิเทศศิลป์ drawing เรียนสถาปัตย์: ฟืนจุดไฟ เป้าหมายและความฝัน ภาคต่อ

Sunday, April 8, 2012

ฟืนจุดไฟ เป้าหมายและความฝัน ภาคต่อ


ต่อจากที่เขียนมานานแล้วนะครับ
บางคนอาจจะได้อ่านบทความคราวที่แล้วของพี่บ้าง(batt)
บางคนอาจจะเพิ่งเคยอ่านบทความนี้ึ ก็ย้อนกลับไปอ่านของเก่าด้วยได้นะครับ

ที่เขียนต่อขึ้นมาเพราะหลายๆคนถามมาว่าเมื่อไรจะเขียนต่อซักที
ไอ้เราก็ไม่ค่อยมีเวลาเท่าไร แต่ก็นะ วันนี้รู้สึกดีมากๆเลยขอเขียนต่อซักหน่อย

บทความนี้ไม่มีเจตนาจะยกหางตัวเองหรือพาดพิงใครนะครับ
หากใครไม่อยากทราบเรื่องราวก็ข้ามไปเลยนะจ๊ะ

ต่อเลยนะครับ.........

หลังจากที่ผมได้เริ่มเรียน drawing ครั้งแรกนั้น
เรียกว่า กล้ำกลืนฝืนทน พอสมควร เพราะเราไม่เคยได้จับอุปกรณ์แบบนี้มาก่อน
อย่างมากก็ใช้ปากกาลูกลื่นเขียนดรากอนบอล หรือการ์ตูนต่างๆในแบบของเด็กมือบอนคนนึง


พอเรียนไปได้ซักพัก จากขีดเส้นตั้งเส้นนอน (ซึ่งเบื่อสุดๆ อยากหนีไปให้ไกล hahaha)
ก็เริ่มขึ้นรูปทรงเรขาคณิต แล้วก็ต่างๆนานา ...
ขอบอกว่า มองย้อนกลับไปแล้ว งานในตอนนั้นอ่อนมากมาย ขนาดเส้นตรงยังขีดไม่ตรง

แต่ด้วยความโชคดีที่มีรุ่นพี่(ที่เคารพมาถึงทุกวันนี้) จบจากมัณฑนศิลป์ ศิลปากร รุ่นthe คนหนึ่ง
แนะนำว่า ให้ลองเรียนอินทีเรียแบบพี่เขาดูมั้ย เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร คิดว่าคล้ายๆแบคทีเรีย
ก็ลองไปศึกษาดูเพราะรู้ว่าพี่คนนี้เท่มากมาย อยากเป็นคนเท่ๆบ้าง hahaha

หลังจากตรวจสอบดูแล้วก็พบว่ามีทั้ง interior architect และ interior decorative
จึงไปคุยกับพี่เขาอีกครั้งก็ได้คำแนะนำมาว่า "แกเรียนสายวิทย์มาก็ไปลองเรียนสถาปัตย์สิ จบมาจะได้ทำงานร่วมกัน"
เท่านั้นหล่ะ ไฟลุกเลย อยากทำงานกับพี่เขาว่ะ!!!
เลือกสถาปัตย์แบบไม่คิดชีวิตทันที (โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าจริงๆมันต่างกันอย่างไร เรียนด้วยอารมณ์ล้วนๆ)

แทรกนิดนึงนะ***
มัณฑนศิลป์ ศิลปากร มีสอนออกแบบภายใน ยาวนานเก่าแก่ ขึ้นชื่อเรื่องความสุดยอดของบัณฑิตที่จบจากที่มานาน
ปัจจุบันก็ยังคงผลิตมัณฑนากร ที่เต็มไปด้วยคุณภาพอย่างต่อเนื่องทุกปี รวมทั้งเจ้านายเก่าของผมก็จบจากที่นี่ด้วยเช่นกันซูฮก!

ตอนนั้นพี่ติวที่สอนพวกพี่(ทั้งพี่ และ พี่กัน)เป็นรุ่นพี่จาก สถาปัตย์ ลาดกระบัง (ซึ่งยังเคารพ รัก เสมอมา ตอนนี้ใหญ่โตเก๋ไก๋ไปแล้ว)
ตอนนั้นวาดรูปตลกมาก วาดอะไรไม่ได้ วาดคนแขนสั้น ไหล่กว้าง คอยาว ขาโต ตาเข ผสมกันเป็นมนุษพันธุ์ใหม่
เพื่อนๆมันก็วาดกันเก่งเหลือเกิน ไอ้เรามันหัวไม่ดี หรือตาเอียงฟะ(เริ่มโทษโชคชะตา)
เป็นอย่างนั้นอยู่นานมาก จนเริ่มโดนพี่ติวดุ "เอ็งไม่ทำการบ้านมาต่อให้ แฟรงค์ลอยด์ไลท์ มาสอนก็สอบไม่ติด"
ตอนนั้นรู้จักแต่ไส้กรอกแฟรงไก่ เลยไม่เข้าใจเท่าไร รู้แต่ว่าเพื่อนๆที่มันวาดได้กันเพราะมันทำการบ้านมาแบบจัดเต็ม
ส่วนไอ้คนที่มันได้เท่าเรา มันก็ไม่ทำงานมาเหมือนกันเลยฟร่ะ

ตอนนั้นกว่าจะรู้ตัวก็กำลังจะ ม.6แล้ว ทำไงดี วาดเป็นปียังอ่อนระทวย อาการเก่ากลับมา ความขี้เกียจกลับมา
ยากจะอดใจไม่ให้นอนอ่านการ์ตูนได้ เพราะเตียงมันดูดวิญญาณเหลือเกิน ถ้าพ่อมาหวดก้นอีกทีคงทำให้ขยันได้บ้างมั๊ง
พี่ติวแกก็เริ่มชินชากับความขี้เกียจของเราแล้ว เห็นหลังๆไม่ค่อยบ่น ไม่อะไรแล้ว มันเป็นสัญญาณของอะไรรึปล่าวฟะ
แต่ก็สบายดีนะ เพราะนี่คือ comfort zone ของตู.

จบ...



"ล้อเล่นน่ะ ! บ้านเรากำลังจะเจ๊งเหรอ"
หลังจากได้ข่าวจากพี่ชายว่าที่บ้านกำลังประสบปัญหาอันหนักหน่วง เรื่องการเงิน
เนื่องจากที่บ้านพี่เป็นอู่ซ่มรถเล็กๆ เป็นห้องแถว และกำลังโดนยักษ์ใหญ่ที่กำลังเข้ามาทำตลาดในธุรกิจนี้แย่งลูกค้าไปหมด
ความเก่งกาจในการซ่อมรถของคุณพ่อ ก็ไม่ดึงดูดใจเท่ากับการลดราคาของยักษ์ใหญ่
อีกทั้งปัญหาต่างๆนานาที่รุมล้อมครอบครัว ทำให้เรื่องที่พ่อไม่อยากให้ใครรู้ที่สุดต้องเผยออกมา
จำได้ว่าพ่อผมขาวมาก เพราะคิดมากเรื่องนี้ (แต่ตอนนี้ผมดำแล้วนะ ไปซื้อยามาย้อม หุๆๆ)

สิ่งเดียวที่รู้ในตอนนั้นคือ ทำยังไงก็ได้ เพื่อให้เป็นภาระกับพ่อแม่ให้น้อยที่สุด
นั่นคือเราต้องสอบให้ติดให้ได้ และรีบๆเรียนให้จบ
ตอนนั้นไม่ว่าจะวิกฤตแค่ไหน แต่พ่อแม่ก็พร้อมจะให้เราได้เรียนในสิ่งที่เรามุ่งมั่น
พี่รู้สึกผิดมากๆเลยที่กลับมาเป็นคนขี้เกียจอีกครั้ง
เหมือนทำให้พ่อแม่เสียเหงื่อฟรีๆ

หลังจากนั้นพี่ก็สำรวจตัวเองและพยายามข่มตัวเองให้มีสมาธิกับงานให้มากขึ้น
เพราะมันไม่ได้แล้ว
ถึงแม้จะยากแค่ไหนก็ต้องทำให้ได้
หลายต่อหลายครั้งที่ท้อ แต่ไม่เคยถอย!!! ถ้าแค่นี้ถอยแล้วพ่อแม่เราที่ถอยไม่ได้แล้วเค้าจะทำไง!

รู้ตัวดีว่าเราไม่ฉลาด!!!
งั้นก็เอาความเพียรเข้าแลกละกัน!!!

ตอนนั้นเริ่มจากวาดรูปตามที่เห็นใน magazine เก่าๆที่บ้าน (ยังไม่เล่นเน็ทในตอนนั้น)
วาดเอาให้เหมือนที่สุดละนะ!
เอางานเก่าๆที่พี่เค้าเคยสั่ง มาวาดใหม่ให้มันสวยให้หมด!
ถ้าทำไม่ได้ก็ทำใหม่ !
ทำการบ้านไปครบทุกครั้ง
ทำทุกวันไม่ต่ำกว่า2-3ชม. จริงๆ! "เหมือนได้เรียนทุกวัน"

ผลก็คือ ภายใน2เดือน เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
จากที่วาดไม่ได้กลายเป็นพอไปวัดไปวา
จากพอไปวัดไปวา กลายเป็น พร้อมสอบ

มันก็แค่ก้าวออกจาก comfort zone ที่เราอยู่ให้ได้เองนี่หว่า!
ทำไมตอนเริ่มมันยากเหลือเกิน
เหมือนที่เขาพูดกันว่า เดินทางไกลยากที่สุดก็ตอนก้าวแรกนี่แหละ!

ช่วงหลังของการเรียน พี่ไม่ได้เรียนพิเศษแล้วเนื่องจากไม่ต้องการรบกวนค่าใช้จ่ายที่บ้านเยอะไปกว่านี้
พี่ออกมาทำงาน วาดรูปกับพี่กัน แล้วเอาไปให้พี่ติวดู ทำอย่างนี้จนถึงช่วงสอบ

ตระเวนเข้าค่ายพรีเอ็นทรานซ์ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ
เพื่อลับคมมีดให้พร้อมสอบ

และก็มาถึงวันที่ต้องสอบจริงๆแล้วสินะ***
สมัยนั้นไม่มีโอกาสให้แก้ตัว
ไม่มีการสอบหลายรอบ เรียนมาแทบตายสอบครั้งเดียวชี้ชะตาชีวิต!

ตื่นเต้นว่ะ!!!

วันที่ไปสอบ พกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม
ดินสอ สอง สามแท่ง ปากกา ห้า หก แท่ง สีไม้ 24สี ยี่ห้ออะไรไม่รู้ รู้แต่ว่ามันราคาไม่แพง ทุกแท่งเหลาแหลมเปี๊ยบ
ยางลบ หักเป็นชิ้นเล็กๆหลายชิ้น ใช้ลบคมๆได้เยอะดี

เดินไปถึงสนามสอบปุ๊ป
เจอเด็กๆจากโรงเรียนอื่นมากันเต็มยศ
ดินสอปากกาเต็มกล่อง เปิดโชว์เลยทีเดียว
ดินสอสีครบทุกเฉด ยังกับที่บ้านเป็นโรงงานผลิต
หนำซ้ำยังมีสีมาร์คเกอร์อีกกระป๋องใหญ่

ใจหายครับพูดตรงๆ
"นี่คู่แข่งเรามันไปเรียนมาจากไหนวะ อุปกรณ์มันเหลือกินเลยว่ะ" พี่ก็คิดไปงี้

แต่เราไหนๆก็ไหนๆแล้ว พกมาแต่ความพร้อมในแบบของเราละเฟ่ย

สอบๆๆๆๆๆ

สอบเสร็จ ... ตูทำได้ป่าววะ
น่าจะทำได้น่า ... หรือไม่ได้วะ
คิดอยู่แต่อย่างนี้

คะแนนออกมา ...

คะแนนเราจริงเหรอเนี่ย... เยอะกว่าที่คิดมากเลยแฮะ
ดูคะแนนกับพ่อแม่ที่บ้าน ด้วยคอมพ์
ในตอนนั้น แม่งง พ่องง
ไม่รู้ว่าตัวเลขพวกนี้คืออะไร อย่างไหนคือคะแนนเยอะ รู้แต่ว่าเรายิ้มไม่หุบ

มันเกิดความรู้สึกคุ้ม ... คุ้มค่าสำหรับการทุ่มเท
หายเหนื่อย ... จากที่อดหลับอดนอนมานาน
อ่านหนังสือจนปวดตา เขียนภาพจนปวดข้อมือ
อนาคตมันเลือกได้ง่ายเหลือเกิน
จะเข้าที่ไหนดี ... ได้ทุกที่เลยว่ะ คะแนนถึงหมด

ถ้าวันนั้นเราไม่เลือกที่จะขยัน ... จะเป็นยังไงเนี่ย!
วันนี้สบายใจเหลือเกิน ... สบายใจเหลือเกิน

เวลาที่เหลือ จะเอาไปทำอะไรดี เหลืออีกตั้ง1เทอม
เอาไปทำคะแนนวิชาอื่นเพิ่มดีกว่า
แล้วก็ติวเพื่อนๆซะเลย ไหนๆก็เรียนมาแล้ว เอาให้คุ้ม
ตรงไหนเราพอได้ก็ช่วยเพื่อนล่ะทีนี้.

ช่วงนั้นพี่ค้นพบว่าตัวเองมีประโยชน์กับคนอื่นได้เหมือนกันแฮะ
พ่อแม่ก็ดีใจที่เห็นเราทำตัวมีประโยชน์ พาเพื่อนมาติวหนังสือกันที่บ้านดึกๆดื่นๆตีหนึ่ง ตีสอง
แล้วไปเรียนที่โรงเรียนต่อตอนเช้า
แต่ไม่ลืมเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆตอนเย็นที่โรงเรียน แล้วกลับมาทำแบบเดิม.

พี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายร้อยคนที่ทำได้ในช่วงชีวิตนั้น
แต่ละคนคงมีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป
จะนำไปใช้ก็ให้พลิกแพลงในแบบของตัวเองด้วยนะครับ

ขอจบห้วนๆแบบนี้นะครับ


พี่อยากให้น้องๆทุกคนที่อ่านบทความนี้
นำส่วนดีๆของพี่ไปเสพ ให้ความตั้งใจและความมุ่งมั่นเป็นแรงผลักดันเพื่อที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย
นำไปประยุกต์ใช้ และก้าวออกจาก comfort zone แห่งความขี้เกียจ
โดยคิดเสมอว่าเราทำได้ และจะทำด้วยความขยันอย่างแท้จริง
ต่อไปนี้จะไม่หายใจทิ้งเรี่ยราดให้เวลาหมดไปวันๆ จะวางแผนและทำให้แต่ละวันมีความหมายกว่าที่เคยเป็น
ให้คิดว่าเราจะไม่เอาพรสวรรค์เข้าสู้ แต่เราจะสู้ด้วยพรแสวงที่คนทุกคนมีเท่ากัน
และลองจินตนาการภาพที่เราทำสำเร็จ และล้มเหลว แล้วเลือกว่าเราจะเป็นคนๆไหน

เวลาที่เหลืออยู่เราเป็นคนกำหนดเองครับ สู้ๆ!

หากมีอะไรให้ไปคุยกันที่ facebook ของโรงเรียน นะครับ www.facebook.com/born2beart


ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบครับ


แบด



No comments:

Post a Comment